วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วันมาฆบูชา




พอดีวันมาฆบูชาที่ผ่านมานี้ เป็นเกิดพอดีเลยได้ทำบุญควบคู่ไปกับวันเกิดพอดีเหมาะมากเลย ได้ไปเวียนเทียนที่วัดในชะอำด้วย ชื่อวันคือ วันเนรัชราราม.....วันมาฆบูชา (บาลี: มาฆปูชา; อังกฤษ: Magha Puja) เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย[1] "มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปุรณมีบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ ตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (มักอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรือเดือนมีนาคม) ถ้าในปีใดมีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 4) [2]

วันมาฆบูชา ได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่าม กลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 รูปนั้นได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรง อภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4[3]

เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลใน วันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรมีการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น[4] โดยการประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือมีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ มีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น โดยในช่วงแรกพิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป จนต่อมาความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร

ปัจจุบันวันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย[1] โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์[5] พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์[6] กล่าวคือหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา อันได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล

นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็น "วันกตัญญูแห่งชาติ" เนื่องจากปัจจุบันสังคมไทยวัยรุ่นสาวมักจะเสียตัวในวันวาเลนไทน์หลายหน่วยงานจึงพยายามรณรงค์ให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก (อันบริสุทธิ์) แทน

สำหรับในปี พ.ศ. 2552 นี้ วันมาฆบูชาจะตรงกับ วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ ตามปฏิทินสุริยคติ

งานโรงเรียน

งานโรงเรียนเมื่อคืนนี้
ก็สนุกดีนะ เสียอย่างเดี่ยวกินไม่ทันเพื่อนนี่เเหละ ทำให้หิวจังเลย แต่ก็กินจนได้อร่อยดีนะแถมมีเพื่อนๆเยอะเเยะเลย สนุกดี

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วันเกิดดดดดด

วันเกิดจ้าาาาา
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ วันเกิดจ้าาาา เพื่อนซื้อของขวัญมาเพียบเลย ..น่ารักมากกก
ดีใจมากเลย ได้เป่าเค้กวันเกิดด้วย 555+ ขอสุขสันต์วันเกิดกับเพื่อนๆๆ ที่เกิดเดือนนี้ด้วยเเล้วกันนะ...

วันนี้อย่าลืมไปกินโต๊ะจีนที่ โรงเรียนเบญนะ ใครไม่มีตังมากินที่โต๊ะห้อง 2 ได้ นะ 555+ ห้องเรา
เป็น พ่อบุญทุ่ม ซื้อ 5 โต๊ะ ยินดีเเบ่งให้กินได้จ้าาา

ประวัติ วันวาเลนไทล์

เรื่องของ วันวาเลนไทน์ นี้ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ณ กรุงโรม หรืออาณาจักรโรมัน ในยุคของจักรพรรดิคลอดิอุส ที่สอง (Claudius II)

โดย ที่จักรพรรดิพระองค์นี้ มีนิสัยชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น เขาได้สั่งให้ชาวโรมันทุกคน สักการะนับถือพระเจ้า 12 องค์ โดยผู้ที่ขัดขืนคำสั่งจะถูกทำโทษ รวมทั้งห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกคริสเตียนด้วย แต่นักบุณวาเลนตินุส (Valentinus) มีความเลื่อมใส ศรัทธาต่อพระคริสมาก เขาได้กล่าวไว้ว่า แม้กระทั่งความตายก็ไม่สามารถ เปลี่ยนความคิดของเขาได้ เขาจึงได้ถูกขังคุก

ช่วงอาทิตย์สุดท้ายในชีวิตของเขานั้น ได้มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น ขณะที่เขาถูกคุมขังอยู่นั้น ผู้คุมขังได้ขอให้วาเลนตินุส สอนลูกสาวเขาซึ่งตาบอดด้วย จูเลียเป็นคนสวยแต่น่าเสียดายที่เธอตาบอดตั้งแต่แรกเกิด วาเลนตินุสได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่าง ๆ สอนเลข และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง จูเลีย สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ โดยคำบอกเล่าของ วาเลนตินุส เธอเชื่อใจเขาและเธอมีความสุขมากเมื่ออยู่กับเขา

วันหนึ่งจูเลีย ถามวาเลนตินุสว่า “ถ้าเราอธิษฐาน พระผู้เป็นเจ้าจะได้ยินเราไหม” เขาตอบ “พระองค์เจ้า จะได้ยินเราแน่นอน ท่านได้ยินเราทุกคน” จูเลียกล่าว “ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าอธิษฐานขออะไรทุก ๆ เช้า ทุก ๆ เย็น....ข้าหวังว่า ข้าจะได้มองเห็นโลก เห็น ทุก ๆ อย่างที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง” วาเลนตินุสจึงบอก “พระเจ้ามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน เพียงแค่เรามีความเชื่อมั่นในพระองค์ท่าน เท่านั้นเอง”

จูเลีย ผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าจึงได้คุกเข่า กุมมือ อธิษฐานพร้อมกับวาเลนตินุส และในขณะนั้นเอง ก็ได้มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น จูเลียค่อย ๆ ลืมตา พระเจ้า.....เธอมองเห็นแล้ว!!!!! เขาและเธอจึงกล่าวขอบคุณต่อพระเจ้า และเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้ ได้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักร

ในคืน ก่อนที่วาเลนตินุสจะสิ้นชีวิต โดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine” เข้าสิ้นชีพในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้น ศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินุส แต่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดร์และมิตรภาพอันสวยงาม

ประวัติ วันวาเลนไทน์ นี้ เป็นเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ เรื่องเท่านั้น ไม่ว่าประวัติที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในปัจจุบันนี้ เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์ เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและการ์ด เพื่อบอกความนัยในแก่คนที่พิเศษของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน

ดอกไม้ประจำเดือน กุมภาพันธ์




ดอก คาร์เนชั่น (Carnation) เป็นดอกไม้แห่งการเฉลิมฉลอง ตามตำนานของกรีก-โรมัน นิยมใช้ดอกคาร์เนชั่นในงานที่มีความรื่นเริงยินดี แต่ต่อมาสัญลักษณ์ของคาร์เนชั่นได้แปรเปลี่ยนไปตามสีสันต่างๆ
- คาร์เนชั่นสีขาว (White Carnation) เป็นสัญลักษณ์ของความชื่นชมยินดี นิยมใช้ดอกคาร์เนชั่นสีขาวมอบให้ในวาระโอกาสแห่งการแสดงความยินดีต่างๆ (ได้ดอกไม้มอบวันรับปริญญาอีกหนึ่งล่ะ)
- คาร์เนชั่นสีเหลือง (Yellow Carnation) เป็นสัญลักษณ์ของความเหยียดหยาม ถ้ามอบคาร์เนชั่นสีเหลืองให้แก่ผู้ใด แสดงว่าผู้ให้รู้สึกดูหมิ่นดูแคลนผู้รับเป็นอย่างมาก
- คาร์เนชั่นสีแดง (Red Carnation) เป็นสัญลักษณ์ของหัวใจที่แตกสลาย ถ้าได้รับดอกคาร์เนชั่นสีแดงจากผู้ใด แสดงว่าผู้ให้ต้องการบอกว่าถูกผู้รับหักอกจนใจสลายแล้ว
- คาร์เนชั่นลาย เป็นสัญลักษณ์ของคำปฏิเสธ ถ้าถูกใครขอความรัก และอยากตอบปฏิเสธก็จงมอบดอกคาร์เนชั่นลายให้แก่ผู้นั้น
- คาร์เนชั่นสีชมพู (Pink Carnation) ดอกคาร์เนชั่นสีชมพูเป็นสัญลักษณ์ของหัวใจรัก ถ้าต้องการสารภาพรักใครก็ควรมอบดอกคาร์เนชั่นสีชมพูให้แก่ใครคนนั้น (ตำราใหม่ แปลว่า "ความรักของผู้หญิง")

อัญมณี ประจำเดือน กุมภาพันธ์



แอเมทิสต์ - เดือนกุมภาพันธ์

แอเมทิสต์ (Amethyst) เป็นคำในภาษากรีก มีความหมายว่า "Not Drunken" โดยมีความเชื่อว่า ถ้าดื่มไวน์จากแก้วที่ทำมาจากแอเมทิสต์ จะทำให้ผู้ดื่มไม่มึนเมา แอเมทิสต์ เป็นพลอยประจำเดือนกุมภาพันธ์


แอเมทิสต์ หรือพลอยสีดอกตะแบก เป็นอัญมณีสีม่วงคราม - ม่วงแดง มีลักษณะเป็นผลึกเดี่ยว (Crystalline Varieties) (รูปที่ 1) อยู่ในประเภทควอตซ์ (Quartz Species) มีองค์ประกอบทางเคมี คือ SiO2 สีม่วงเกิดจากธาตุเหล็ก (Fe) ที่เป็นธาตุร่องรอย (Trace elements) ในโครงสร้างผลึก มีความแข็งเท่ากับ 7 ตามโมห์สเกล (Mohs' Scale of Hardness) แอเมทิสต์ที่มีความใสสะอาดนิยมนำมาเจียระไนแบบต่างๆ ส่วนแอเมทิสต์ที่มีลักษณะขุ่น มีความใสน้อยหรือค่อนข้างทึบแสงนิยมนำมาแกะสลัก (รูปที่ 2) นอกจากนี้เนื่องจากมีลักษณะผลึกที่สวยงามตามธรรมชาติจึงสามารถใช้วางเป็นของประดับตกแต่งได้โดยไม่จำเป็นต้องเจียระไน (รูปที่ 3)



แอเมทิสต์ สามารถนำมาเผาที่อุณหภูมิประมาณ 470 - 750 องศาเซลเซียส จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือที่มีชื่อเรียกว่าซิทริน (Citrine)

แหล่งที่พบแอเมทิสต์ที่มีคุณภาพ ได้แก่ ในประเทศบราซิล, มาร์ดากัสการ์, แซมเบีย, อุรุกวัย, พม่า, อินเดีย, แคนาดา, แมกซิโก, นามีเบีย, รัสเซีย, ศรีลังกา และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

อัญมณี ประจำเดือน มกราคม

อัญมณีประจำเดือนเกิด: มกราคม : Garnet โกเมน


โกเมนเป็นอัญมณีในตระกูล Garnet มีความแข็ง 7 – 7.5 โมส์ (Moh) มีความวาวแบบแก้ว คำว่า Garnet มาจากภาษาละตินว่า Granatus แปลว่า เหมือนเมล็ดพืช

ผู้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าอัญมณีชนิดนี้มีสีแดงเพียงสีเดียวตามคำกลอนนพรัตน์ “ แดงแก่ก่ำ โกเมนเอก ” แต่จริง ๆแล้ว อัญมณีชนิดนี้มีสีมากถึง 15 สี ยกเว้นสีน้ำเงิน

ส่วนสีแดงเป็นสีของโกเมนที่มีมากที่สุด ประเภทที่นิยมนำมาทำเครื่องประดับ คือ อัลมานไดน์ (Almandine) มีสีแดงเข้ม สีแดงอมน้ำตาล หรืออมม่วง และไพโรบ (Pyrope) มีสีแดงสดซึ่งสอดคล้องกับรากศัพท์ภาษากรีกโบราณที่แปลว่า ไฟ

ด้วยความที่เป็นอัญมณีสีแดงที่เกิดจากธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบและบางครั้งก็มีสีสันสวยงามมาก จึงทำให้บางคนมักเข้าใจผิดว่าเป็นทับทิม แต่โกเมนต่างกับทับทิม คือ โกเมนส่วนใหญ่มีสีแดงอมน้ำตาล แต่ทับทิมมีสีแดงสดใส และโกเมนมีความแข็งน้อยกว่าทับทิม


โกเมนเป็นที่รู้จักกันมาแต่โบราณ กล่าวกันว่า โนอาห์ (Noah) ผู้พาสิ่งมีชีวิตหนีน้ำท่วมโลก ใช้โกเมนประดับเรือเรืออาร์ค ( Ark ) เพื่อให้แสงสว่างในการเดินทางในตอนกลางคืน ชาวอียิปต์ ชาวกรีก และชาวโรมันก็ใช้โกเมนมาทำเป็นเครื่องประดับ ในสมัยวิคตอเรีย อัญมณีสีแดงชนิดนี้เป็นที่นิยมนำมาทำเครื่องประดับด้วยเช่นกัน
เครื่องรางป้องกันภัย


นักเดินทางในสมัยโบราณมักจะพกโกเมนติดตัวไว้ เพราะเชื่อกันว่าสามารถปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากภยันตรายต่าง ๆ และช่วยส่องแสงในตอนกลางคืนด้วย แต่ผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ พบว่าเกิดจากการหักเหของแสง โกเมนยังเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความศรัทธาอีกด้วย บ้างก็เชื่อกันว่าทำให้ผู้สวมใส่อายุยืน


ทางด้านการบำบัด โกเมนเป็นอัญมณีสีแดง จึงมีพลังช่วยรักษาสมดุลของระบบหมุนเวียนโลหิต ช่วยกระตุ้นผู้ที่มีความเฉื่อยชาทางเพศ นอกจากนี้ โกเมนยังมีคุณสมบัติในการกระตุ้นความรู้สึกและอารมณ์ ดังนั้น หากนำไปให้ผู้ที่มีปัญหาซึมเศร้าสวมใส่ โกเมนจะช่วยกระตุ้นให้มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น เพิ่มความเข้มแข็งให้กับผู้ใส่


ตำนานเกิดโกเมน
ตามคัมภีร์พระเวทบันทึกไว้ว่า อัญมณีสีแดงชนิดนี้เกิดจากเล็บเท้าของอสูรชื่อวลาซึ่งถูกเหล่าเ ทวดาหลอกมาสังหารแล้วแยกชิ้นส่วนร่างกายของอสูรตนนี้ออกอันเนื่ องมาจากอสูรวลามีอำนาจเหนือพระอินทร์ คอยกดขี่ข่มเหงเทวดาอื่น ๆ ชิ้นส่วนร่างของมารวลาที่ตกลงมาบนโลกมนุษย์ได้กลายเป็นอัญมณีชน ิดต่าง ๆ ส่วนเล็บเท้าของอสูรวลาที่หล่นลงมาบนโลกมนุษย์นั้นได้รับการบูช าจากพญานาคแล้วปล่อยลงบริเวณเทือกเขาหิมาลัย
แหล่งที่พบโกเมน

จากตำนานการเกิดโกเมน ส่วนเล็บเท้าของมารวลาบนเทือกเขาหิมาลัยได้กลายเป็นแหล่งที่พบโกเมนมากในปัจจุบัน นั่นคือ ศรีลังกา อินเดีย นอกจากนี้ยังพบโกเมนที่ออสเตรเลีย แอฟริกา สาธารณรัฐเชคด้วย




ส่วนในประเทศไทยพบโกเมนคุณภาพดีที่จันทบุรี ตราด และยังพบที่เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง เชียงราย ตาก กำแพงเพชรบ้าง

ประวัติเดือน กุมภาพันธ์

เรื่องเดือนกุมภาฯ เรามาจากอีกตำราว่า เพราะสมัยโรมันรุ่งเรือง ปฏิทินโรมันจะเริ่มนับจากเดือนมีนาคม March เพราะคนโรมันนับถือเทพเจ้ามารส์ เทพเจ้าแห่งสงคราม
(หลักฐานเรื่องนี้ยังหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน ดูได้จากชื่อเดือนกันยายนถึงธันวาคมในภาษาอังกฤษ September October November December มาจาก Sept- Oct- Nov- Dec- ซึ่งแปลว่า 7 8 9 10 และถ้าเริ่มนับจากเดือนมีนาคม ก็จะตรงพอดี)

โดยกำหนดให้เดือนคี่มี 31 วัน เดือนคู่มี 30 วัน (กำหนดคล้ายปฏิทินจันทรคติบ้านเราเลย แต่ของเราให้เดือนคี่ 29 เดือนคู่ 30) ปรากฎว่าถ้าจัดตามนี้ จะเป็น 366 วัน เกินไป 1 วัน หวยเลยไปออกที่เดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นเดือนสุดท้าย โดนตัดออก 1 วันแทน

(สงสัยพวกโรมันคงไม่ต้องการให้มีเดือน 30 วันติดกันสามเดือน เลยเลือกตัดเดือนกุมภาฯ 30 วันให้เหลือ 29 วันแทน)

จากนั้นพอถึงยุคออกุสตุส ซีซาร์ ที่มีอำนาจต่อจากจูเลียส ซีซาร์ ท่านออกุสตุสเห็นว่าในเมื่อท่านจูเลียสเอาชื่อตัวเองไปตั้งเป็นเดือน July ได้ ท่านก็กลัวน้อยหน้าเลยเอาบ้าง ตั้งชื่อเดือนต่อจาก July ตามชื่อตัวเองเป็น August แล้วเพื่อเฉลิมยศเสมอกัน ก็เลยเพิ่มเดือน August นี้ให้เป็น 31 วันด้วย แล้วค่อยไปสลับ 30-31 กันใหม่ต่อจากนั้น ปรากฎว่าเกินอีก เลยไปตัดที่เดือน ก.พ. อีกรอบ เหลือแค่ 28 วัน